ตู้ฝากกระเป๋า (Coin Locker) สิ่งจำเป็นถ้าเที่ยวโดยรถไฟในญี่ปุ่น 2017/07/04 ตู้ฝากกระเป๋า (Coin Locker) สิ่งจำเป็นถ้าเที่ยวโดยรถไฟในญี่ปุ่น 2017/07/04 Credit: ผู้เขียน ตอนเราเดินผ่านตู้ล็อคเกอร์ตามสถานีรถไฟใหญ่ๆ ในโตเกียวก็นึกในใจว่า “มันจะมีประโยชน์อย่างไร” และ “ทำไมต้องมีเอาไว้เยอะแยะ” ในเมื่อเราก็พักโรงแรมกันอยู่แล้ว ก็ทิ้งไว้ที่โรงแรมหรือฝากไว้ที่โรงแรมก็ได้นี่นา แต่พอถึงวันเดินทางกลับเราจึงเพิ่งเห็นคุณค่าของตู้ล็อคเกอร์แบบนี้เอง อย่างในกรณีที่ต้องบินกลับไฟลท์เย็น พอเช็คเอ้าท์เที่ยงแล้วเราก็อยากไปเที่ยวต่อกันใช่มั้ยคะ คราวนี้กระเป๋าก็กลายมาเป็นอุปสรรคแล้วล่ะ จะให้แบกไปไหนมาไหนด้วยก็ลำบาก หลังจะพิการเอา หรือจะฝากไว้ที่โรงแรมก็ต้องย้อนมาอีกเสียเวลา ถ้าจะไปเที่ยวต่างเมืองไกลๆ ก็ไม่อยากแบกทุกสิ่งติดตัวไปด้วยตลอด เราก็เลยฝากของไว้ในล็อคเกอร์แบบนี้แหละค่ะ สบายกายสบายใจที่สุด Credit: ผู้เขียน ย้ำเลยว่า สำหรับนักท่องเที่ยวหรือผู้ที่เดินทางโดยรถไฟ (พวกเช่ารถขับเที่ยวเองก็คงไม่มีปัญหา ยัดๆ ใส่รถได้) ตู้ล็อคเกอร์เป็นสิ่งที่จำเป็นมากๆ เลยค่ะ ส่วนใหญ่จะมีอยู่ทุกสถานีรถไฟนะ Credit: ผู้เขียน ขนาดของตู้โดยทั่วไปก็จะเป็นไซส์เล็ก กลาง และใหญ่ Credit: ผู้เขียน ขนาดเล็ก ราคา 300 เยน Credit: ผู้เขียน ขนาดกลางๆ ราคา 500 เยน Credit: ผู้เขียน ขนาดใหญ่ ราคา 700 เยน Credit: ผู้เขียน มีวิธีการใช้บอกไว้ ดูเข้าใจง่ายค่ะ คือ 1.นำกระเป๋าใส่เข้าไป 2. หยอดเหรียญตามราคา 3.ดึงกุญแจออก ฝากได้จนถึงเที่ยงคืนของวันที่ฝาก (ไม่ใช่ 24 ชม. นะคะ) Credit: ผู้เขียน ถ้าเลยกำหนดเวลาก็จะต้องเสียเงินอีกเท่าตัวเลย แล้วก็ฝากไว้ได้ไม่เกิน 3 วันค่ะ Credit: ผู้เขียน จะจ่ายผ่านบัตร PASMO หรือ SUICA ก็ได้ค่ะ Credit: ผู้เขียน บางแห่งจะเป็นตู้มีหน้าจอทันสมัย บอกว่าเรากำลังจะเช่าตู้ไหน จ่ายได้ทั้งบัตรทั้งหยอดเหรียญ ถ้าไม่มีเหรียญก็จะมีที่แลกเหรียญไว้ให้โดยใส่แบงค์พันเยนเข้าไปก็จะได้เหรียญออกมาค่ะ Credit: ผู้เขียน ตู้ล็อคเกอร์หยอดเหรียญบางสถานีรถไฟ เช่น สถานีอุเอะโนะ เป็นสถานีที่มีนักท่องเที่ยวเยอะ ตู้จะเต็มเร็วโดยเฉพาะตู้ขนาดใหญ่ไซส์กระเป๋าเดินทางใบใหญ่ ดังนั้นเผื่อใจและเผื่อแผนสำรองไว้ด้วยนะคะ ถ้าเจอตู้ว่างตรงจุดไหนแล้วก็รีบฝากกระเป๋าไว้เลยดีที่สุด อย่าหวังน้ำบ่อหน้าค่ะ Credit: ผู้เขียน ตู้ล็อคเกอร์ที่มีกุญแจห้อยก็คือตู้ที่ว่าง Credit: ผู้เขียน วิธีการฝากกระเป๋าในตู้ล้อคเกอร์ เริ่มจากเราหาตู้ว่างได้ตามขนาดกระเป๋าที่ใส่เข้าไปได้ อย่างกระเป๋าเป้ใส่กล้องและเลนส์แบบนี้ขนาดพอดีกับตู้ไซส์เล็กสุด 300 เยนก็พอค่ะ Credit: ผู้เขียน แล้วก็แค่เอาเหรียญหยอด (ตู้ทั่วไปใช้เหรียญ 100 เยนเท่านั้น แต่ก็มีบางตู้ที่สามารถหยอดเหรียญ 500 เยนได้ด้วยค่ะ) Credit: ผู้เขียน หยอดไปให้ครบ Credit: ผู้เขียน ครบแล้วค่ะ 300 เยน หยอดเหรียญ 100 เยนไป 3 เหรียญ Credit: ผู้เขียน ดึงกุญแจออกค่ะ เก็บเข้ากระเป๋าอย่างดีใส่ช่องลับในเสื้อหรือกางเกงไว้เลยนะคะ ห้ามหายเด็ดขาด หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆ นะคะ ดูบทความที่เกี่ยวข้อง About the author RiangSupod ดูบทความผู้เขียน เลขาสาวผู้ชื่นชอบการท่องเที่ยว อาหาร และวัฒนธรรมญี่ปุ่น จบปริญญาตรีจากคณะอักษรศาสตร์-ปริญญาโทรัฐศาสตร์ จุฬาฯ เคยอาศัยอยู่ที่ประเทศญี่ปุ่น และได้เดินทางไปทำงานและไปท่องเที่ยวที่ญี่ปุ่นบ่อยๆ ทำให้มีเพื่อนทั้งชาวไทยและชาวญี่ปุ่นทุกเพศทุกวัย ปัจจุบันเป็นเลขานุการผู้บริหารระดับสูงของรัฐวิสาหกิจแห่งหนึ่ง คิดถูกใจ Komachi JAPAN ถูกใจ แชร์เลย
ตอนเราเดินผ่านตู้ล็อคเกอร์ตามสถานีรถไฟใหญ่ๆ ในโตเกียวก็นึกในใจว่า “มันจะมีประโยชน์อย่างไร” และ “ทำไมต้องมีเอาไว้เยอะแยะ” ในเมื่อเราก็พักโรงแรมกันอยู่แล้ว ก็ทิ้งไว้ที่โรงแรมหรือฝากไว้ที่โรงแรมก็ได้นี่นา แต่พอถึงวันเดินทางกลับเราจึงเพิ่งเห็นคุณค่าของตู้ล็อคเกอร์แบบนี้เอง อย่างในกรณีที่ต้องบินกลับไฟลท์เย็น พอเช็คเอ้าท์เที่ยงแล้วเราก็อยากไปเที่ยวต่อกันใช่มั้ยคะ คราวนี้กระเป๋าก็กลายมาเป็นอุปสรรคแล้วล่ะ จะให้แบกไปไหนมาไหนด้วยก็ลำบาก หลังจะพิการเอา หรือจะฝากไว้ที่โรงแรมก็ต้องย้อนมาอีกเสียเวลา ถ้าจะไปเที่ยวต่างเมืองไกลๆ ก็ไม่อยากแบกทุกสิ่งติดตัวไปด้วยตลอด เราก็เลยฝากของไว้ในล็อคเกอร์แบบนี้แหละค่ะ สบายกายสบายใจที่สุด
ย้ำเลยว่า สำหรับนักท่องเที่ยวหรือผู้ที่เดินทางโดยรถไฟ (พวกเช่ารถขับเที่ยวเองก็คงไม่มีปัญหา ยัดๆ ใส่รถได้) ตู้ล็อคเกอร์เป็นสิ่งที่จำเป็นมากๆ เลยค่ะ ส่วนใหญ่จะมีอยู่ทุกสถานีรถไฟนะ
ขนาดของตู้โดยทั่วไปก็จะเป็นไซส์เล็ก กลาง และใหญ่
ขนาดเล็ก ราคา 300 เยน
ขนาดกลางๆ ราคา 500 เยน
ขนาดใหญ่ ราคา 700 เยน
มีวิธีการใช้บอกไว้ ดูเข้าใจง่ายค่ะ คือ 1.นำกระเป๋าใส่เข้าไป 2. หยอดเหรียญตามราคา 3.ดึงกุญแจออก ฝากได้จนถึงเที่ยงคืนของวันที่ฝาก (ไม่ใช่ 24 ชม. นะคะ)
ถ้าเลยกำหนดเวลาก็จะต้องเสียเงินอีกเท่าตัวเลย แล้วก็ฝากไว้ได้ไม่เกิน 3 วันค่ะ
จะจ่ายผ่านบัตร PASMO หรือ SUICA ก็ได้ค่ะ
บางแห่งจะเป็นตู้มีหน้าจอทันสมัย บอกว่าเรากำลังจะเช่าตู้ไหน จ่ายได้ทั้งบัตรทั้งหยอดเหรียญ ถ้าไม่มีเหรียญก็จะมีที่แลกเหรียญไว้ให้โดยใส่แบงค์พันเยนเข้าไปก็จะได้เหรียญออกมาค่ะ
ตู้ล็อคเกอร์หยอดเหรียญบางสถานีรถไฟ เช่น สถานีอุเอะโนะ เป็นสถานีที่มีนักท่องเที่ยวเยอะ ตู้จะเต็มเร็วโดยเฉพาะตู้ขนาดใหญ่ไซส์กระเป๋าเดินทางใบใหญ่ ดังนั้นเผื่อใจและเผื่อแผนสำรองไว้ด้วยนะคะ ถ้าเจอตู้ว่างตรงจุดไหนแล้วก็รีบฝากกระเป๋าไว้เลยดีที่สุด อย่าหวังน้ำบ่อหน้าค่ะ
ตู้ล็อคเกอร์ที่มีกุญแจห้อยก็คือตู้ที่ว่าง
วิธีการฝากกระเป๋าในตู้ล้อคเกอร์ เริ่มจากเราหาตู้ว่างได้ตามขนาดกระเป๋าที่ใส่เข้าไปได้ อย่างกระเป๋าเป้ใส่กล้องและเลนส์แบบนี้ขนาดพอดีกับตู้ไซส์เล็กสุด 300 เยนก็พอค่ะ
แล้วก็แค่เอาเหรียญหยอด (ตู้ทั่วไปใช้เหรียญ 100 เยนเท่านั้น แต่ก็มีบางตู้ที่สามารถหยอดเหรียญ 500 เยนได้ด้วยค่ะ)
หยอดไปให้ครบ
ครบแล้วค่ะ 300 เยน หยอดเหรียญ 100 เยนไป 3 เหรียญ
ดึงกุญแจออกค่ะ เก็บเข้ากระเป๋าอย่างดีใส่ช่องลับในเสื้อหรือกางเกงไว้เลยนะคะ ห้ามหายเด็ดขาด หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆ นะคะ
About the author
RiangSupod
เลขาสาวผู้ชื่นชอบการท่องเที่ยว อาหาร และวัฒนธรรมญี่ปุ่น จบปริญญาตรีจากคณะอักษรศาสตร์-ปริญญาโทรัฐศาสตร์ จุฬาฯ
เคยอาศัยอยู่ที่ประเทศญี่ปุ่น และได้เดินทางไปทำงานและไปท่องเที่ยวที่ญี่ปุ่นบ่อยๆ ทำให้มีเพื่อนทั้งชาวไทยและชาวญี่ปุ่นทุกเพศทุกวัย
ปัจจุบันเป็นเลขานุการผู้บริหารระดับสูงของรัฐวิสาหกิจแห่งหนึ่ง
คิดถูกใจ